ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเขียนบทความวิจัย
ความหมายของบทความวิจัย
บทความวิจัยเป็นการประมวลสรุปการทำวิจัยให้มีความกระชัดเพื่อใช้ในการนำเสนอในการประชุมทางวิชาการหรือในวารสารทางวิชาการและถือว่าบทความวิจัยเป็นเอกสารทางวิชาการประเภทเดียวกับรายงานการวิจัยแต่มีขนาดสั้นกว่ารายงานผลการวิจัยทั้งเล่ม
ความสำคัญของการเขียนบทความวิจัย
บทความวิจัยเป็นงานเขียนทางวิชาการที่ช่วยให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ เป็นการเพิ่มประวัติและผลงานแก่ผู้เขียน สร้างสถานภาพให้แก่หน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด บทความวิจัยจึงมีคุณค่าต่อนักวิชาการในการผสมผสานความรู้ในอดีตและความรู้ใหม่จากผลงานวิจัย และที่สำคัญคือผลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการที่ได้มาตรฐานนั้น ผู้วิจัยสามารถนำไปใช้ประกอบการพิจารณาการประเมินภาระงาน และการประเมินผลงานทางวิชาการในระดับผู้เชี่ยวชาญ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ ดังประกาศของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบนอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) เรื่องมาตรฐานการกำหนดระดับตำแหน่งและการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น และสำหรับหน่วยงานต้นสังกัดของผู้วิจัยสามารถนำงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ ในวารสารในรูปแบบบทความวิจัยไปใช้สำหรับรับการตรวจประกันคุณภาพทางการศึกษาของสำนักงานมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์กรมหาชน) (สมศ.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.)
ลักษณะของบทความวิจัยที่ดี
บทความวิจัยมีลักษณะเป็นงานเขียนทางวิชาการมีลักษณะที่สำคัญดังนี้
- มีความแม่นยำถูกต้อง (accuracy) หมายถึง เนื้อหาบทความมีความถูกต้องทั้งใน
ด้านวิชาการและการใช้ภาษาที่ถูกต้องเป็นมาตรฐาน และมีการใช้เหตุผลทางวิชาการในการอภิปรายและแสดงความคิดเห็น
- มีความกระจ่างชัดเจน (clarity) คือบรรยายอย่างกระจ่างชัด มีความละเอียดลออ
ปราศจากข้อสงสัย ผู้อ่านเข้าใจได้ตรงกันโดยไม่ต้องมีการตีความ
- มีความต่อเนื่อง (continuity) เนื้อหาบทความมีความต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ
ทั้งลำดับความ ย่อหน้า มีระเบียบจากเหตุไปหาผล ลำดับตามเวลา ตามเหตุการณ์
- มีความกระทัดรัด (concisence) การใช้ถ้อยคำ สำนวน ประโยค สั้นกระทัดรัด แต่ละ
ย่อหน้ามีความยาวเหมาะสม ไม่เยิ่นเย้อเกินไป ใช้ภาษาถูกต้องตามหลักภาษา
- มีความคงเส้นคงวา (consistency) มีการใช้ภาษา คำศัพท์ สม่ำเสมอตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่กระโดดไป กระโดดมา เช่น ใช้ พ.ศ. บ้าง ค.ศ. บ้าง ใช้หน่วยวัดเป็นปอนด์บ้าง หน่วยเป็นระบบเมตริกกิโลกรัมบ้าง ต้องใช้ให้เหมือนกับตลอดเรื่องเช่นในการอ้างวารสารไทยใช้ พ.ศ. การอ้างวารสารต่างประเทศ ใช้ ค.ศ. เป็นต้น
- มีการอ้างอิง (reference) ที่เป็นสากลทั้งการอ้างอิงในเนื้อหาและรวมรายการเอกสาร
อ้างอิงที่ครบถ้วน และใช้ระบบเดียวกันทั้งเรื่อง
รูปแบบการจัดพิมพ์บทความวิจัย
ในวารสารที่ได้มาตรฐานนอกจากมีการกำหนดระยะเวลาการพิมพ์เผยแพร่แน่นอนมี peer review และมีลักษณะอื่น ๆ ที่เป็นไปตามเกณฑ์ของ ISI (Institute for Scientific Information) สกอ.(สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) หรือ สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) แล้วบทความที่ลงตีพิมพ์ต้องได้มาตรฐานด้วย นอกจากเนื้อหางานวิจัยมีคุณค่า มีประโยชน์แล้วจะต้องมีการจัดพิมพ์ให้เป็นไปตามฟอร์มของวารสารด้วย ตามปกติวารสารต่าง ๆ จะมีหน้าที่เป็นข้อแนะนำการส่งต้นฉบับเพื่อให้บทความทุกเรื่องมี การรูปแบบการพิมพ์เหมือนกันทุกบทความ จะเป็นการเพิ่มมาตรฐานทางวิชาการให้แก่วารสารนั้นด้วย
กระบวนการกลั่นกรองบทความวิจัย (Review Process)
วารสารที่ได้มาตรฐานมีหลักการที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันในการกลั่นกรองบทความวิจัยโดยบทความวิจัยที่ขอส่งลงตีพิมพ์ในวารสารมีเงื่อนไขคือ
- ต้องไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ มาก่อน
- ต้องไม่ใช่บทความวิจัยที่รอการพิจารณาจากวารสารอื่น
- ต้องได้รับการตรวจสอบความถูกต้องจากผู้ทรงคุณวุฒิ(peer-reviewer)ในสาขาที่เกี่ยวข้องจำนวน 1 – 3 คนขึ้นอยู่กับนโยบายของวารสารแต่ละฉบับ
- ได้รับการยอมรับให้ลงตีพิมพ์ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบรรณาธิการและถือว่าเป็นที่สิ้นสุด
- ผู้เขียนบทความเป็นผู้รับผิดชอบความคิดเห็นที่ปรากฏที่ลงตีพิมพ์
- ลิขสิทธิ์เป็นของเจ้าของวารสาร
ประเด็นที่ทำให้ผลงานวิชาการลดค่า (ไพฑูรย์ สินภารัตน์. 2552)
- การลอกเลียนคนอื่นโดยไม่อ้างอิง
- นำข้อมูลมา ปะ โปะ เปะ เท่านั้น
- รวบรวมโดยไม่เรียบเรียง
- ขาดการวิเคราะห์สังเคราะห์
- ไม่มีการเสริมเพิ่มเติมด้วยประสบการณ์หรืองานวิจัยของผู้เขียน
- เนื้อหา ห้วน สั้น ไม่ครบถ้วนตามที่ควรจะเป็นในสาขาวิชา
- ไม่มีการเสริมเพิ่มเติมด้วยรูปภาพ กราฟ ตาราง
- เขียนด้วยภาษาที่สับสน วนไปวนมา ไม่ต่อเนื่อง
- การอ้างอิงไม่ครบ ไม่ถูก ไม่สอดคล้องกันทั้งเล่ม
- ไม่มีจุดเด่น เอกลักษณะ และตัวตนของผู้เขียนเลย
- การจัดพิมพ์ที่ขาดการดูแลให้สวยงาม เหมาะสม สอดคล้องกับหลักการของตำรา หนังสือ หรือบทความที่ดี
ข้อกำหนดของบทความต้นฉบับ (Manuscript Requirements)
วารสารที่ได้มาตรฐานมีข้อกำหนดการจัดทำต้นฉบับที่ใกล้เคียงกัน คือ
- หัวข้อหลักในส่วนต้นของบทความวิจัยประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ชื่อผู้เขียนทุกคน บทคัดย่อ คำสำคัญ (ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
- ในส่วนเนื้อหาของบทความประกอบด้วยหัวข้อ บทนำ วิธีดำเนินการวิจัย ผลการวิจัย อภิปรายผล สรุปผลและข้อเสนอแนะ
- ในส่วนท้ายบทความประกอบด้วย เอกสารอ้างอิง และกิตติกรรมประกาศ
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ในการเตรียมนิพนธ์ต้นฉบับเพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ได้มาตรฐานระดับชาติผู้เขียนบทความต้องเลือกวารสารเป้าหมายให้ตรงกับผลงานวิจัยก่อนโดยพิจารณาขอบเขตเนื้อหาของวารสารนั้นมีจุดเน้นให้ลงบทความในสาขาใดและเนื้อหาวิจัยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือนโยบายของวารสารนั้นหรือไม่ ถ้าเนื้อหาที่จะส่งลงตีพิมพ์มีความสอดคล้องกับนโยบายของวารสาร จึงทำหารศึกษาข้อแนะการเตรียมนิพนธ์ต้นฉบับต่อไป ส่วนมากแล้วข้อเสนอแนะ คำแนะนำ เงื่อนไข หรือข้อกำหนดของวารสาร ต่าง ๆ จะปรากฏอยู่ในปกหน้าด้านในหรือก็ปรากฏที่ปกหลังด้านใน หรืออาจปรากฏอยู่ในเนื้อหาในใบแรกหรือ ใบสุดท้ายของวารสาร แล้วแต่การจัดรูปแบบของกองบรรณาธิการประจำวารสาร สิ่งที่สำคัญคือผู้เขียนบทความวิจัยควรปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของวารสารอย่างเคร่งครัด
การเตรียมนิพนธ์ต้นฉบับ
ความหมายนิพนธ์ต้นฉบับ
การเตรียมนิพนธ์ต้นฉบับก็คือ การร่างต้นฉบับเอกสารงานวิจัยที่ย่อความจากฉบับเต็ม ให้มีสาระครบถ้วน เพื่อนำนิพนธ์ต้นฉบับส่งให้บรรณาธิการวารสารตรวจสอบและพิจารณาในการรับลงตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ ถ้าไม่ถูกต้องเหมาะสมทางกองบรรณาธิการจะส่งคืนให้นำไปปรับปรุงแก้ไขหรือ ถ้าไม่ดีมาก ๆ อาจถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์เพราะจะทำให้วารสารนั้นด้อยคุณค่าไปด้วย ถ้านิพนธ์ต้นฉบับได้รับการยอมรับจากกองบรรณาธิการและลงตีพิมพ์ในวารสารแล้วจึงเรียกผลงานนั้นว่าเป็น Full Paper ที่ผู้อ่านสามารถนำไปอ้างอิงได้
เทคนิคการจัดทำนิพนธ์ต้นฉบับ
การเขียนงานวิจัยในรูปบทความวิจัยเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ส่วนที่เป็นศาสตร์คือผู้วิจัยต้องเขียนเนื้อหาให้ถูกต้องตามหลักวิชาการโดยเฉพาะด้านการใช้ภาษา ส่วนที่เป็นศิลป์ คือผู้วิจัยต้องเขียนด้วยภาษาที่ง่าย อ่านแล้วเพลิดเพลินชวนให้อ่านจนจบ มีความกลมกลืนของเนื้อหา
การจะเขียนให้ครอบคลุมและชวนให้น่าอ่านมีเทคนิคการเขียนนิพนธ์ต้นฉบับดังขั้นตอน
ขั้นตอนแรก เป็นขั้นเตรียมการ เริ่มจากการกำหนดประเด็น หัวข้อบทความวิจัยและวารสารที่จะไปลงตีพิมพ์ พร้อมทั้งต้องศึกษาข้อแนะนำการเตรียมต้นฉบับของวารสารนั้น
ขั้นตอนที่สอง ขั้นวางแผน ในขั้นตอนนี้ดำเนินการหลังจากตัดสินเลือกวารสารที่จะส่งตีพิมพ์แล้ว และจัดทำโครงร่างที่เป็นการจัดการความคิด การเรียบเรียงเนื้อหาสาระอื่นประกอบด้วย ประเด็นหลัก ประเด็นรอง การลำดับเนื้อตามความสำคัญ ทำให้การเขียนเนื้อหาจริง ไม่วกวนไปมาหรือมีเนื้อหาที่น้อยไปหรือมากไป การจัดทำโครงร่าง ควรเขียนเป็นตอนซึ่งตามรูปแบบ (format) ตามสากลนิยมก่อนของนิพนธ์ต้นฉบับก่อนเพื่อจะได้หัวข้อหลัก ซึ่งตามหลักสากลการเขียนรายงานวิจัยมีหัวข้อหลักคือ บทนำ(Introduction) วิธีการและวัสดุ (Method and Materials) ผล (Results) วิจารณ์และข้อเสนอแนะ (Discussion) และนำหลักนี้มากำหนดหัวข้อเนื้อหาในการเขียนโครงร่างมีดังนี้
บทนำ
วิธีการ
ผล
วิจารณ์
ขั้นตอนที่สาม ขั้นทบทวนแผน โดยการทบทวนโครงร่างที่เขียนขึ้นครั้งแรกว่าประเด็นในโครงร่างมีความครอบคลุมครบถ้วนหรือยัง ถ้ายังไม่ครบถ้วนให้เพิ่มเติมให้สมบูรณ์ก่อน หรือประเด็นใดไม่มีความสำคัญสามารถตัดออกก่อนได้
ขั้นตอนที่สี่ ขั้นการจัดทำต้นฉบับ โดยการลงมือเขียนรายละเอียดในประเด็นต่าง ๆ ตามความเข้าใจจากการที่ได้จัดทำวิจัยด้วยตนเอง และไม่ควรคัดลอกข้อความเดิมมาทั้งหมดหรือบางส่วนแต่ควรเขียนเนื้อหาใหม่โดยการจับความจะทำให้การเขียนบทความวิจัยมีความกลมกลืนต่อเนื่อง
ขั้นตอนที่ห้า ขั้นการประเมินต้นฉบับด้วยตนเอง การทบทวนด้วยตนเองจะยังไม่อ่านทบทวนเลยภายหลังการเขียนต้นฉบับจบแล้ว ควรเก็บเอกสารไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วจึงนำมาอ่านใหม่อีกครั้งก่อนลงมือแก้ไข และให้ผู้อื่นอ่านก่อนส่งให้กองบรรณาธิการตรวจสอบดังในขั้นตอนที่หก
ขั้นตอนที่หก ขั้นการประเมินต้นฉบับด้วยบุคคลภายนอก ในขั้นนี้ทางกองบรรณาธิการจะส่งบทความวิจัยให้ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกตรวจสอบ แล้วจึงนำผลไปปรับรูปแบบการพิมพ์ตามข้อแนะนำของกองบรรณาธิการวารสาร
เทคนิคการเตรียมนิพนธ์ต้นฉบับนี้สามารถใช้ได้กับการเขียนบทความวิชาการหรือการเขียนตำรา
จากการศึกษาข้อแนะนำหลัก ๆ ที่ปรากฏในวารสารทางวิชาการที่ได้มาตรฐานที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันคือ ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบคือ ส่วนนำ ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนท้ายเรื่อง และเรียงลำดับหัวข้อในทั้งสามส่วนดังนี้
ส่วนนำ ประกอบด้วย
ชื่อเรื่อง (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
ชื่อผู้นิพนธ์ (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
บทคัดย่อ (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
คำสำคัญ (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
ส่วนเนื้อเรื่อง ประกอบด้วย
บทนำ
วิธีการดำเนินการวิจัย / วิธีการทดลอง
ผลการวิจัย / ผลการทดลอง
วิจารณ์
กิตติกรรมประกาศ
ส่วนท้ายเรื่อง
เอกสารอ้างอิง
แนวทางการเขียนเนื้อหารายละเอียด
ในการเขียนรายละเอียดโดยสรุปในแต่ละหัวข้อควรเขียนให้กระชับให้ได้สาระโดยเขียนแบบย่อไม่ใช่ตัดต่อจากรายงานฉบับสมบูรณ์ แต่เป็นการเขียนใหม่โดยย่อ ประโยคเนื้อหาไม่จำเป็นต้องเหมือนฉบับเต็ม
ชื่อเรื่อง (Title) ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ควรเขียนให้สั้น กะทัดรัด เข้าใจง่าย
ชื่อผู้นิพนธ์ (Author และ Co-authors) เขียนชื่อทุกคน พร้อมสังกัดและสถานที่ติดต่อ หมายเลข โทรศัพท์ ชื่อเขียนทั้งภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ โดยไม่ต้องใส่คำนำหน้า ทั้งยศ ตำแหน่งการบริหาร ตำแหน่งทางวิชาการ (ภาณุภัทร ลิ้มจำรูญ และคณะ (2552)
บทคัดย่อ (Abstract) ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทคัดย่อเป็นการสรุปเนื้อหาทั้งหมดอย่างย่อ เพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจเนื้อหาสาระอย่างคร่าว ๆ ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องจึงต้องเขียนให้ครอบคลุมเนื้อหาโดยไม่แสดงรายละเอียด ทั้งนี้ความยาวของบทคัดย่อขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของกองบรรณาธิการวารสารต่าง ๆ ที่แนะนำไว้ โดยทั่วไปวารสารที่ได้มาตรฐานจะกำหนด ความยาวประมาณครึ่งหน้ากระดาษหรือประมาณ 150- 200 คำหรือ 250 คำ เมื่อรวมทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้วประมาณ 1 หน้ากระดาษ
คำสำคัญ (Keywords) ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เป็นข้อความที่เป็นคำศัพท์หรือตัวแปรที่กล่าวถึงบ่อยครั้งในการวิจัย ส่วนใหญ่คำสำคัญจะปรากฏที่ชื่อเรื่อง หรือวัตถุประสงค์ การเขียนคำสำคัญจะมีประโยชน์ต่อการจัดทำรายการดัชนีสำหรับการสืบค้นข้อมูลของผู้อ่านและนำไปใช้ประโยชน์
คำสำคัญ : ชุดเครื่องมือ, คุณลักษณะอันพีงประสงค์, นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
บทนำ (Introduction) เป็นการเขียนนำเข้าสู่เรื่องที่เป็นปัญหาที่ต้องการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้คำตอบ การเขียนบทนำเพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจถึงความสำคัญที่ต้องทำวิจัยและกระตุ้นจูงใจให้ผู้อ่านต้องการอ่านรายละเอียดในส่วนอื่น ๆต่อไป บทนำเป็นส่วนแรกของส่วนเนื้อเรื่องที่บอกความเป็นมา เหตุผลที่ต้องทำการวิจัย และวัตถุประสงค์การวิจัย รวมถึงการรายงานวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งที่เป็นแนวคิดทฤษฎีและสรุปงานวิจัยที่สำคัญที่เกี่ยวข้อง กรอบแนวความคิดและสมมุติฐานการวิจัยจะปรากฏในส่วนบทนำ โดย ถ้าต้องการเขียนกรอบแนวความคิดควรจะเขียนในลักษณะความเรียงไม่ควรเขียนเป็นแผนภาพเหมือนใน การเขียนในรายงานวิจัยฉบับสมสมบูรณ์ และถ้ามีศัพท์เทคนิคเฉพาะที่สำคัญที่ต้องการอธิบายสามารถเขียน ในส่วนบทนำได้
วัสดุและวิธีการ(Materials and Method ) หรือ วิธีการดำเนินงานวิจัย(Methodology)
ในส่วนนี้เป็นการนำเสนอเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เป็นคำตอบของโจทย์การวิจัยว่าได้มาจากการสุ่มหรือไม่สุ่ม ด้วยวิธีใด เครื่องมือการวิจัย คุณภาพเครื่องมือ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล สำหรับงานวิจัยที่มีการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ควรระบุถึงวัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือนั้นใช้ได้กับการตรวจสอบในเรื่องใด การใช้สารเคมีควรระบุชื่อที่แสดงคุณสมบัติ ไม่ใช่ชื่อทางการค้า ปริมาณที่ใช้และแหล่งที่มา
วิจารณ์ (Discussion) เป็นการอธิบายความหมายของผลการวิจัยที่ค้นพบว่าเข้ากันได้หรือขัดแย้งกับความรู้ แล้วตีความหมายและวิจารณ์ผลที่ได้จากการวิจัยโดยให้เหตุว่าที่ไม่เป็นไปตามสมมุติฐาน อาจเนื่องจากสาเหตุใด ถ้าเป็นไปตามสมมุติฐานสอดคล้องกับแนวคิด ทฤษฎีหรือผลงานวิจัยเรื่องอื่นใดบ้าง การนำไปใช้ประโยชน์ต่อยอดอย่างไร มีข้อบกพร่อง ข้อดี ข้อจำกัดอย่างไร และมีข้อเสนอแนะด้วยว่าควรศึกษาวิจัยต่อในลักษณะใดหรือใครจะนำผลส่วนใดไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง ในการเขียนวิจารณ์หรืออภิปรายผล ไม่ควรเขียนผลการวิจัยซ้ำอีกครั้งเพราะเป็นการสิ้นเปลืองหน้ากระดาษ ไม่ต้องนำเสนอข้อมูลทั่วไป ข้อมูล ส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่ไม่ตอบวัตถุประสงค์หรือสมมุติฐานการวิจัยมาวิจารณ์หรืออภิปราย ควรนำข้อมูลผลการวิจัยที่สำคัญจริง ๆมาวิจารณ์เพื่อนำไปสู่การยอมรับหรือปฏิเสธทฤษฎีอย่างชัดเจน หรือเพื่อการขยายผลสู่การนำไปใช้ต่อไป
กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgements)(หากมี) หรือ คำขอบคุณเป็นการแสดงความขอบคุณแก่ผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งการเขียนควรให้ครอบคลุมสององค์ประกอบคือ ส่วนแรกขอบคุณแก่ผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือในด้านทรัพยากรที่ใช้ในการวิจัยทั้งด้านอุปกรณ์ สถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือด้านความรู้ทางวิชาการในการทำวิจัยทำให้งานวิจัยสำเร็จลุล่วงไปได้ ส่วนที่สองเป็นการขอบคุณบุคคลที่สนับสนุนงบประมาณเพื่อการวิจัย
เอกสารอ้างอิง (References) การอ้างอิงเป็นการระบุแหล่งที่มาของแนวคิดหรือข้อมูลที่ปรากฏในรายงาน และทำรายการแหล่งอ้างอิงต่าง ๆ ซึ่งสามารถเขียนรายการแหล่งอ้างได้ การอ้างอิงในเนื้อหาตามหลักสากลที่นิยมใช้มีสองระบบ คือใช้ระบบนามปี ( Name Year System) ซึ่งเป็นระบบที่นำเสนอโดย American Psychological Association(APA)
การอ้างอิงแทรกไปในเนื้อหา (ระบุนาม-ปี) เป็นการอ้างอิงโดยแทรกปนไปกับเนื้อหาเป็นวิธีการหนึ่งที่ควรนำไปใช้ในการเขียนตำราเพราะประหยัดเนื้อที่การพิมพ์และการจัดทำรายละเอียดของเอกสาร แต่อาจเป็นที่น่ารำคาญสำหรับผู้อ่านเนื่องจากมีวงเล็บอ้างแทรกอยู่เป็นระยะปนไปทั่วในทุกหน้า
สำหรับระบบการอ้างอิงอีกระบบคือระบบตัวเลข (Citation order System )หรือระบบ แวนคูเวอร์ ที่ใช้ตัวเลขกำกับท้ายข้อความ เช่น (1) , ( 2 – 5 ) , ( 5 ,8,10-12) สำหรับรายการอ้างอิงให้ จัดเรียงลำดับ ก่อนหลังตามการกล่าวอ้างตั้งแต่เริ่มเรื่อง ซึ่งการอ้างอิงระบบนี้เริ่มมีความนิยมกันมากโดยเฉพาะในการวิจัยในสาขาทางการแพทย์ ที่มีการอ้างอิงเอกสารจำนวนมากจึงนิยมใช้ระบบนี้
หลักเกณฑ์สากลสำหรับพิจารณามาตรฐานบทความ
- เกณฑ์พิจารณาด้านเนื้อหา ความถูกต้องทางวิชาการ
1.1 เนื้อเรื่องตรงกับ หัวข้อ/สาขา ที่วารสารนั้นต้องการ
1.2 มีความถูกต้อง เหมาะสม จากข้อเท็จจริงทางทฤษฎี
1.3 มีหลักฐานการอ้างอิงประกอบ เช่น สถิติ ข้อเสนอแนะผู้เชี่ยวชาญ
1.4 ข้อมูลที่เสนอมีความน่าเชื่อถือ อาจเป็นข้อมูลปฐมภูมิจากการสังเกต ทดลอง สอบถาม
1.5 เนื้อหาที่นำเสนอตรงประเด็น ลำดับ ขั้นตอนา เชื่อมโยงต่อเนื่อง
1.6 มีความสละสลวยมีถ้อยคำที่เขียนสอดคล้องกัน
1.7 ข้อมูลทันสมัย อ้างอิงย้อนหลังไม่เกิน 10 ปี
- เกณฑ์การพิจารณาด้านภาษา รูปแบบการเขียน
2.1 ภาษามีความชัดเจน ไม่กำกวม ฟุ่มเฟือย ประโยคสั้นแต่สื่อความหมายชัดเจน
2.2 ใช้ศัพท์วิชาการได้อย่างถูกต้อง
2.3 มีการเว้นวรรคตอนถูกต้อง
2.4 ภาพประกอบเหมาะสม
2.5 รูปแบบการเขียนเหมาะสม การแบ่งหัวข้อ การจัดลำดับเนื้อหา
- เกณฑ์การเขียนเอกสารอ้างอิงและการอ้าง ใช้ระบบ APA มีหลักเกณฑ์ดังนี้
3.1 ชื่อวารสาร ชื่อหนังสือ และป ีที่ (volume) ใช้ตัวเอน และไม่ใช้ชื่อย่อ
3.2 เขียนชื่อผู้แต่งโดยขึ้นต้นด้วย last name ตามด้วยจุลภาค (,) และชื่อย่อตามด้วยมหัพภาค (.)
3.3 ชื่อไทยขึ้นต้นด้วยชื่อตัว ตามด้วยนามสกุล
3.4 กรณีผู้แต่งมากกว่าหนึ่งคน ให้เขียนชื่อผู้แต่งทั้งหมดทุกคน คั่นระหว่างชื่อด้วยจุลภาค (,) และ ใส่เครื่องหมาย & ก่อนชื่อสุดท้าย
3.5 ถ้าไม่มีชื่อผู้แต่ง ให้ขึ้นต้นด้วยชื่อเรื่อง หรือชื่อวารสาร หรือชื่อหนังสือ ตามด้วยปีที่พิมพ์
3.6 ถ้าผู้แต่งเป็นหน่วยงาน หรือองค์กร ให้ใช้ชื่อหน่วยงานหรือองค์กรแทนชื่อผู้แต่ง
3.7 เรียงลำดับรายการตามตัวอักษรชื่อผู้แต่ง และมีเลขล าดับที่1, 2, 3…กำกับ
3.8 รายการที่มีทั้งเอกสารภาษาไทยและอังกฤษ ให้นำข้อมูลภาษาไทยขึ้นก่อน
3.9 รายการภาษาอังกฤษพิมพ์โดยใช้ Single Space
3.10 บรรทัดที่สองและบรรทัดต่อ ๆ ไปของแต่ละรายการให้ย่อหน้าเข้ามา 5 – 7 ตัวอักษร หรือประมาณครึ่งนิ้ว
3.11 การอ้าง – อ้างโดย (ชื่อผู้แต่ง, ปีที่พิมพ์) หรือชื่อผู้แต่ง (ปีที่พิมพ์)
3.12 ไม่อ้างโดยใช้คำว่า “และคณะ” หรือ “และคนอื่น ๆ” หรือ et al. ไม่ว่าจะมีผู้แต่งกี่คน ยกเว้นกรณีอ้างในเนื้อเรื่องที่มีผู้แต่งตั้งแต่สามถึงห้าคนขึ้นไปและหลั
จากได้มีการอ้างครั้งแรกไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว หรือการอ้างที่มีผู้แต่งตั้งแต่หกคนขึ้นไป
3.13 การอ้างจากวารสารและนิตยสารให้ระบุหน้าแรกถึงหน้าสุดท้าย โดยไม่ใช้คำย่อ “p.” หรือ “pp.” นอกจากหนังสือ
3.14 การติดต่อส่วนตัวโดยสื่อใด ๆ ก็ตาม สามารถอ้างอิงได้ในเนื้อเรื่อง แต่ต้องไม่มีการระบุไว้ในรายการเอกสารอ้างอิงเพราะผู้อื่นไม่สามารถติดตามข้อมูลเหล่านี้ได้
3.15 การอ้างจาก website ให้ระบุวัน เดือน ปีที่พิมพ์ ถ้าไม่ปรากฏให้อ้างวันที่ทำการสืบค้นและระบุ URL ให้ชัดเจน ถูกต้อง เมื่อจบ URL address ห้ามใส่จุด (.) ข้างท้าย
3.16 website ไม่บอกวันที่ ให้ระบุ n.d.
เกณฑ์การพิจารณาคุณภาพวารสารระดับชาติ/นานาชาติ (โยธิน แสวงดี)
ผู้อ่านประเมินผลงานวิชาการและบทความวิจัย
– ผู้อ่านประเมินผลงานวิชาการต้องมากกว่าหนึ่งคน เพื่อเป็นการตรวจสอบคุณภาพวิชาการ วัดความสมดุลเนคุณภาพของชิ้นงาน และต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์หรือ ประเด็นนั้นอย่างแท้จริง
– มุ่งเน้นความสมบูรณ์ด้านระเบียบวิธีการวิจัย และเนื้อหาในเชิงทฤษฎีที่ได้จากงานวิจัยต้องผ่านผู้ประเมิน
– มีการระบุชัดเจนว่ามีการประเมิน วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและการอภิปรายผลต้องได้มาตรฐานตามกรอบของวารสารที่มีระบบการอ้างอิงที่ถูกต้องและเชื่อถือได้
– การอ้างอิงเน้นการต่อยอดความรู้ การบูรณาการในการเขียนและการผสมกลมกลืนกับแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่ผ่านมา คุณภาพภาษาและการสื่อความหมาย การใช้สัญลักษณ์ คำย่อ ตัวย่อ ฯลฯ ถูกต้องตามศาสตร์
เจ้าของหรือองค์กรที่ออกวารสาร
– มักออกโดยสมาคมวิชาชีพ คณะ มหาวิทยาลัย สำนักพิมพ์ สำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัย หรือบริษัทที่ทำงานด้านการพิมพ์ เน้นคุณภาพและเคร่งครัดในจรรยาบรรณการวิจัย และการเผยแพร่ผลงานวิจัย เพื่อประโยชน์ใช้สอยทางพาณิชย์ และความก้าวหน้าด้านวิชาการ เพื่อการสืบค้นต่อยอด
– ภาษาที่พิมพ์ ในประเทศควรสองภาษา ต้องออกตรงเวลาสม่ำเสมอ และมีประเด็นการเผยแพร่ที่ชัดเจนตรงตามเป้าหมายของศาสตร์
การเลือกวารสารทางวิชาการเพื่อเผยแพร่งานวิจัย
ความสำคัญของการตีพิมพ์เผยแพร่
การตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการเป็นการนำผลงานทางวิชาการที่มีการประมวลความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วนำมาเขียนอย่างสั้น ๆ โดยคัดเลือกเฉพาะประเด็นทางวิชาการที่น่าสนใจสำคัญ และมีการขยายความรู้ ความคิด ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างเป็นระบบครบถ้วนมาลงตีพิมพ์ ในวารสารวิชาการในรูปแบบของบทความทางวิชาการ ซึ่งประกอบด้วยบทความในหลายลักษณะเช่น บทความวิจัย(Research Article) บทความวิจัยอย่างสั้น(Short Research Contribution or Short Communication) และ บทความปริทรรศน์ (Review article) บทความในวารสารจัดเป็นแหล่งความรู้ ที่มีความทันสมัยกว่าหนังสือ หรือตำราทั่วไปทั้งนี้อาจเนื่องมาจากขั้นตอนและระยะเวลาในการจัดทำวารสารนั้นสั้นกว่า บทความวิชาการมีประโยชน์ต่อผู้เขียนด้วย เพราะบทความทางวิชาการเป็นเอกสารทางวิชาการ มีความสำคัญต่อผู้ที่ทำหน้าที่สอน สามารถนำไปใช้ประกอบการขอผลงานทางวิชาการดังประกาศ ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กพอ.) ที่กำหนดให้ผลงานทางวิชาการมีงานแต่ง เรียบเรียง แปลหนังสือ หรือบทความทางวิชาการที่มีคุณภาพดี
การเลือกวารสารเป้าหมาย
ในปัจจุบันมีหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจากภายในและภายนอกประเทศที่ได้จัดทำวารสารเผยแพร่โดยเฉพาะวารสารวิชาการไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการก่อตั้ง ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในปี 2547เป็นต้นมา การเลือกวารสารที่ดี พิจารณาจาก การเป็นวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูลระดับชาติหรือระดับนานาชาติ มีค่าดัชนีการอ้างอิงสูง (High total citations) มีบทคัดย่อภาษาไทย บทคัดย่อภาษาอังกฤษ คำสำคัญ และมีผู้ทรงคุณวุฒิ ( peer reviewer) ที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในการทำวิจัยในสาขานั้น ๆ และที่สำคัญควรเลือกวารสารที่มีขอบเขตของเนื้อหาตรงกับประเด็นวิจัย ที่ต้องการเผยแพร่ โดยพิจารณาจากการแจ้งบอกขอบเขตเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ของวารสาร หรือ อาจพิจารณาจากบทความวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ในฉบับก่อน ๆ ว่ามีเนื้อหาตรงกับบทความที่ต้องการจะตีพิมพ์หรือไม่ เป็นวารสารที่ออกเผยแพร่ต่อเนื่องทุกปีตามกำหนดเวลาอย่างนน้อย 3 ปีติดต่อกัน โดยมีผู้ทรงคุณวุมิพิจารณาบทความอย่างน้อยบทความละ 2 คน
วารสารที่เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติต้องมี Impact Factor ต่อเนื่อง สอดคล้องตามเกณฑ์คุณภาพวารสารวิชาการระดับนานาชาติตามที่ สกอ. กำหนด หรือ เป็นวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ฐานข้อมูลใดฐานข้อมูลหนึ่ง เช่น ฐานข้อมูล ISI (Institute for Scientific Information ) ของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือฐานข้อมูลนานาชาติอื่น ๆ เช่น ฐานข้อมูล BIOSIS Databases, AGRICOLA, AGRIS, ASFA, FSTA, PubMed MEDLINE, POPLINE, INSPEC, MathSciNet, CHEMICAL ABSTRACTS, BIOSIS DATABASES, SCOPUS
วารสารไทยหลายฉบับที่ปรากฏในฐานข้อมูลสากล เช่น ในฐานข้อมูล ISI Web of Sciemce (SCI) วารสารไทยที่ปรากฏชื่ออยู่คือ
- Asian Pacific Journal of Allergy and Immunology
- ScienceAsia
- Asian Biomedicine
- Chiang Mai Journal of Science
- Thai Journal of Veterinary Medicine
- Southeast Asia Journal of Tropical Medicine and Public Health
- Maejo International Journal of Science and Technology
วารสารไทยที่ปรากฏในฐานข้อมูลสากล SCOPUS
- Journal of the Medical Association of Thailand
- The Southeast Asia Journal of Tropical Medicine and Public Health
- Asia Pacific Journal of Allergy and Immunology
- Songklanakarin Journal of Science and Technology
- Kasetsart Journal – Natural Science
- Asia Pacific Journal of Cancer Prevention APJCP
- ScienceAsia
- Asia-Pacific Population Journal
- Chiang Mai Journal of Science
นอกจากรายชื่อวารสารข้างต้นแล้วยังมีวารสารไทยอีกหลายเล่มที่ปรากฏรายชื่อในฐานข้อมูล สากลอื่น ๆ
- International Agricultural Engineering Journal
- Thai Journal of Veterinary Medicine
- Geotechnical Engineering (coverage discontinued in Scopus)
- Kasetsart Journal – Social Sciences
- EnvironmentAsia
- Asian Biomedicine
- Buffalo Bulletin
- Chiang Mai University Journal of Natural Sciences
- Maejo International Journal of Science and Technology
- Thai Journal of Pharmaceutical Sciences
สำหรับวารสารที่ได้มาตรฐานในระดับชาติต้องมี Impact Factor ต่อเนื่อง หรือสอดคล้องตามเกณฑ์คุณภาพวารสารวิชาการระดับชาติตามที่ สกอ. กำหนด และควรปรากฏอยู่ในฐานข้อมลระดับชาติ คือฐานข้อมูล TCI ของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index Centre) ฐานข้อมูลนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ( สกอ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ขั้นตอนการรับบทความวิจัยแสดงได้ดังภาพ
หลักเกณฑ์ในการเลือกแหล่งเผยแพร่บทความวิชาการ
- วารสารที่จัดพิมพ์ต่อเนื่องทุกปี ตรงตามเวลา
- เป็นวารสารที่ออกต่อเนื่องมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี
- กองบรรณาธิการประกอบด้วย ผู้ที่มีความรู้ ปละสบการณ์ในวิชาชีพ
- มีผู้ทรงคุณวุฒิอ่านพิจารณาบทความอย่างน้อย 2 ท่าน
- ถูกนำไปทำดรรชนีวารสารไทย
- มีค่า impact factor สูง (วัดค่าความถี่ของการอ้างอิงบทความวารสารในแต่ละปี)
- มีบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
- มีเอกสารอ้าวอิง
- มีรายชื่ออ้างอิงอยู่ในฐานข้อมูลของไทย หรือต่างประเทศ
สรุปการส่งบทความลงตีพิมพ์ในวารสารใด ผู้วิจัยควรดำเนินการดังต่อไปนี้
- ทำงานวิจัยให้เสร็จสิ้นและ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจหรือ ได้ผลที่เป็นประโยชน์ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ มากขึ้น
- เลือกวารสารที่ต้องการตีพิมพ์
- เขียนนิพนธ์ต้นฉบับตามรูปแบบของวารสารนั้น ๆ
- ตรวจทานร่วมกับผู้ที่ทำวิจัยร่วมกัน หรือบุคคลอื่น ๆ
- ปรับปรุง (หากมีปัญหาด้านภาษาควรตรวจสอบโดยเจ้าของภาษา)
- ตรวจทานทุก ๆ จุด
- ทำการส่งนิพนธ์ต้นฉบับไปยังวารสารเป้าหมาย
- รอผลการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิที่ทำหน้าที่ตรวจนิพนธ์ต้นฉบับ (Reviewers)
- แก้ไขตามความเห็น และ ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิที่ทำหน้าที่ตรวจนิพนธ์ต้นฉบับ (Reviewers)
- หากบทความได้รับการตอบรับ ดำเนินการตามเงื่อนไข เช่น copyright transfer, จ่ายเงินค่าตีพิมพ์
เช่น วารสารกลุ่มที่ 1 มีรายชื่อดังนี้
- Applied Environmental
- Kasetsart University Fisheries Research Bulletin
- NIDA Case Research Journal
- Pacific Rim International Journal of Nursing Research
- วารสารการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์)
- วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิต
- วารสารวิจัย มข.
- วารสารวิจัย มสด สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- วารสารวิจัย มสด สาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
- วารสารวิจัยทางการศึกษา
- วารสารวิจัยทางวิทยาศสาตร์สุขภาพ
- วารสารวิจัยเทคโนโลยีการประมง
- วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข
- วารสารวิจัยและพัฒนา มจธ.
- วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
- วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
- วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร
- วารสารวิจัยและสาระสถาปัตยกรรม/การผังเมือง
- วารสารวิจัยสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ
- วารสารวิชาการและวิจัยสังคมศาสตร์
วารสารกลุ่มที่ 2 มีรายชื่อดังนี้
- Journal of Supply Chain Management Research and Practice
- วารสารจันทรเกษมสาร
- วารสารเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการและงานวิจัย
- วารสารวิจัย มข. (ฉบับบัณฑิตศึกษา)
- วารสารวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
- วารสารวิจัยพลังงาน
- วารสารวิจัยเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่
- วารสารวิจัยราชภัฏเชียงใหม่
- วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร
- วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
- วารสารวิจัยรามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
- วารสารวิจัยรามคำแหง ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- วารสารวิจัยรำไพพรรณี
- วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
- วารสารวิจัยและพัฒนาหลักสูตร
- วารสารวิจัยสังคม
- วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- วารสารวิชาการและวิจัย มทร. พระนคร
- วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์)
- วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย มหาวิทยาลัยศิลปากร
เอกสารอ้างอิง
ปัญญา ธีระวิทยเลิศ . (2558). การเขียนรายงานและการเผยแพร่งานวิจัย สู่สาธารณชน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ สัมปชัญญะ.
ไพฑูรย์ สินภารัตน์. (2552). ตำราและบทความวิชาการ แนวคิดและแนวทางการเขียนเพื่อคุณภาพ. ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
โยธิน แสวงดี. เกณฑ์การพิจารณาคุณภาพวารสารระดับชาติ/นานาชาติ. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม. มหาวิทยาลัยมหิดล